สะเดาเทียม

ชื่ออื่น  สะเดาช้าง
ถิ่นกำเนิด ภาคใต้ของไทย
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-30 ม. ขนาดทรงพุ่ม 10-15 ม. ผลัดใบ ทรงพุ่มกลม ค่อนข้างแน่น เปลือกต้นสีนํ้าตาลอมแดงหรือเทา ค่อนข้างเรียบหรือแตกหลุดล่อน เป็นแผ่นเล็กๆ


ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงเวียนสลับ แกนกลางใบ ประกอบยาว 20-60 ซม.ใบย่อย 7-12 คู่ เรียงสลับหรือเยื้องกันเล็กน้อย รูปไข่แกมรูปใบหอกกว้าง 3-4.5 ซม. ยาว 7-15 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบบางแต่ค่อนข้างเหนียว และย่นเป็นลอน สีเขียวเข้มเป็นมัน ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง


ดอก สีขาวอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงที่ ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งยาว 10-15 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ รูปซ้อน ปลายมนและโค้งไปข้างหลัง ติดอยู่กับหลอดเกสรตัวผู้โดยโคนกลีบเชื่อมติดกันเกสรเพศผู้ 8-10 อัน เชื่อมติดกันเป็นหลอด เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 1 -1.2 ซม. ออกดอกเดือน ก.พ.-มี.ค.
ผล ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว ทรงกลมรี กว้าง 1-2 ซม. ยาว 1.5-3 ซม. เปลือกหนา สีเขียวเป็นมัน ผลเมื่อสุกสีเหลือง เมล็ดมีเนื้อผล ฉ้ำน้ำ สีขาวขุ่นห่อหุ้ม เมล็ดรูปกลมรี สีน้ำตาลอ่อน ติดผลเดือน เม.ย.-พ.ค. ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
นิเวศวิทยา พบปลูกอยู่ทั่วไปในภาคใต้
การใช้ประโยชน์ ดอกอ่อน ใช้รับประทานได้ เนื้อไม้ ใช้ในการ ก่อสร้างและประดิษฐกรรมไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าทำลายของเชื้อราสีน้ำเงินจึงเป็นคุณสมบัติที่เหมาะในการทำเฟอร์นิเจอร์ บานหน้าต่าง วงกบ และไม้แกะสลักดีมาก
การใช้ประโยชน์ด้านสมุนไพร เมล็ด นำมาสกัดสารทำยาฆ่าแมลง เปลือก ต้มทำยาแก้บิดหรือท้องร่วง

*สะเดาเทียมมีรสชาติขมจัด มากกว่าสะเดาบ้าน