ลักษณะของสลอด
- ต้นสลอด จัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 2-4 เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกลำต้นเรียบเกลี้ยง เป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทาเข้ม มีเส้นร้อย ตรงกิ่งอ่อนเป็นสีเขียวและมีขนปกคลุม ยอดอ่อนเป็นสีแดง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด การตอน และการปักชำ เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยและมีความชื้นน้อย ไม่ชอบดินแฉะพบได้ทั่วไปในเขตร้อน จากอินเดีย ศรีลังกา จีนและมาเลเซีย ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 600 เมตร ขึ้นไป และจะออกดอกและติดผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม
- ใบสลอด ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปหอก หรือรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนหรือกว้าง ส่วนขอบใบหยักห่าง ๆ หรือจักเป็นซีฟัน ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-14 เซนติเมตร แผ่นใบบางเป็นสีเขียวอมเหลือง หรือหน้าใบเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนหลังใบเป็นสีเขียวอ่อน แต่พอแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและร่วงไป หน้าใบมีขนขึ้นประปราย ส่วนหลังใบเรียบ มีเส้นใบประมาณ 3-5 เส้น ที่ฐานใบมีต่อม 2 ต่อม มีก้านใบเรียวเล็ก ยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร
- ดอกสลอด ออกดอกเดี่ยว ๆ หรืออกเป็นช่อตั้ง โดยจะออกที่ปลายยอด ดอกมีใบประดับขนาดเล็ก ดอกเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่บนต้นเดียวกันและอยู่ในช่อเดียวกัน หรืออยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศเมียจะอยู่ช่วงล่าง ส่วนดอกเพศผู้จะอยู่ช่วงบน ดอกเพศผู้จะมีมีขนเป็นรูปดาว มีกลีบรองดอก 4-6 กลีบ ปลายกลีบมีขน และมีกลีบดอก 4-6 กลีบ ขอบกลีบดอกมีขน ฐานดอกมีขน มีต่อมจำนวนเท่ากัน และอยู่ตรงข้ามกับกลีบรองกลีบดอก เกสรเพศผู้จะมีจำนวนมาก ลักษณะของก้านเกสรไม่ติดกัน เมื่อดอกยังอ่อนอยู่ ก้านเกสรจะโค้งเข้าไปข้างใน ส่วนดอกเพศเมียจะไม่มีกลีบดอกหรือมีแต่จะมีขนาดเล็กมาก มีกลีบรองดอกเป็นรูปไข่ มีขนที่โคนกลีบ รังไข่มี 2-4 ช่อง โดยดอกย่อยเป็นสีขาวและมีขนาดเล็กมาก วางสับหว่างกัน เมื่อดอกบานเต็มที่กลีบดอกจะงองุ้มไปด้านหลัง
- ผลสลอด ลักษณะของผลเป็นรูปรี รูปกลมยาว หรือกลมรูปไข่ แบ่งเป็นพู 3 พู ผลมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ปลายผลหน้าตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม ผิวผลขรุขระเล็กน้อยและสากมือ ผลแห้งจะออกเป็น 3 ซีก ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเหลืองเข้ม ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปรี กลมรี หรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ เมล็ดแบนเล็กน้อย เมล็ดมีขนาดกว้างประมาณ 8-10 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และหนาประมาณ 4-7 มิลลิเมตร ผิวเมล็ดเรียบเป็นมันเงา เนื้อเมล็ดอมน้ำมัน และน้ำมันจากเมล็ดมีพิษมาก
สรรพคุณของสลอด
- ดอกมีรสฝาดเมาเย็น สรรพคุณช่วยดับธาตุไฟไม่ให้กำเริบ และช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์ (ดอก)[1],[2] ส่วนผลมีสรรพคุณช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์เช่นเดียวกับดอก และมีสรรพคุณช่วยดับเดโชธาตุ ไม่ให้เจริญ (ผล)
- เมล็ดมีสรรพคุณช่วยแก้อาการผิดปกติทางจิตและประสาท (เมล็ด)
- เมล็ดใช้กินยาถ่ายพิษเสมหะและโลหิต (เมล็ด)
- เมล็ดใช้ในปริมาณต่ำผสมกับน้ำขิงสดให้เด็กกินเป็นยาแก้ไอ (เมล็ด)
- เปลือกต้นมีรสเฝื่อน มีสรรพคุณช่วยแก้เสมหะที่ค้างอยู่ในลำคอและในอก (เปลือกต้น)
- รากมีสรรพคุณช่วยถ่ายเสมหะ ถ่ายโลหิตและลม (ราก)
- น้ำต้มจากเนื้อไม้ถ้าใช้ในปริมาณน้อย นำมากินจะทำให้อาเจียนและขับเหงื่อ (เนื้อไม้)
- เมล็ดใช้ภายนอกเป็นยาแก้คอตีบ (เมล็ด)
- เมล็ดใช้เป็นยาถ่ายลม ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อเนื่องจากกระเพาะเย็นชื้นคั่งค้างสะสม (เมล็ด)
- ช่วยขับลมชื้น (เมล็ด)
- รากมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปวดท้องเนื่องจากลมชื้น (ราก)
- ช่วยแก้อาการปวดท้อง (เมล็ด)
- เมล็ดมีรสเผ็ดร้อนมัน มีสรรพคุณเป็นยาถ่ายอย่างแรง ในปัจจุบันจัดเป็นพืชมีพิษ เพราะมีฤทธิ์รุนแรงมาก ต้องกำจัดพิษโดยการนำมาเมล็ดมาทุบให้รอบ แล้งต้มกับน้ำนม 2-3 ครั้ง (เมล็ด)
- ช่วยแก้อาการท้องผูกที่ใช้ยาอื่นมาแล้วแต่ไม่ได้ผล (เมล็ด)
- ช่วยแก้ลำไส้อุดตัน (เมล็ด)
- ช่วยแก้ไส้ด้วนไส้ลาม หรือกามโรคที่เกิดเนื้อร้ายจากปลายองค์กำเนิดกินลามเข้าไปจนถึงต้นองค์กำเนิด แต่ก่อนจะนำมาผสมยาให้นึ่งเสียก่อน (ใบ)
- ช่วยถ่ายอุจจาระธาตุ (เมล็ด)
- เมล็ดใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ขับพยาธิในลำไส้ (เมล็ด)
- ช่วยแก้ท้องมาน อาการบวมน้ำ (เมล็ด) ส่วนรากนำมาต้มกับน้ำกินก็ช่วยแก้อาการบวมน้ำได้เช่นกัน (ราก)
- รากนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะ แต่ต้องระวังเพราะกินมากจะทำให้แท้งบุตรได้ (ราก)
- ช่วยถ่ายน้ำเหลืองเสีย (เมล็ด)
- รากและเมล็ดใช้ภายนอกเป็นยาแก้พิษงู (ราก,เมล็ด)
- เมล็ดใช้ภายนอกเป็นยารักษาโรคผิวหนังกลากเกลื้อน (เมล็ด) ส่วนดอกมีสรรพคุณเป็นยาแก้กลากเกลื้อน (ดอก)
- รากและไส้มีสรรพคุณช่วยแก้โรคเรื้อน (รากและไส้)
- ใบมีรสฝาดเมา ใช้ตำพอกแก้ฝีมะตอย (ใบ)
- ช่วยรักษาคุดทะราด (ดอก)
- ช่วยแก้โรคลมชักบางชนิด (เมล็ด)
- รากใช้เป็นยาแก้อาการฟกช้ำปวดบวม (ราก)
- ช่วยแก้โรคเกาต์ (เมล็ด)
หมายเหตุ : การใช้ตาม [5] ส่วนของเมล็ด ก่อนนำมารับประทานควรเอาเปลือกเมล็ดออกก่อน และบีบเอาน้ำมันออกจากเมล็ด โดยเมล็ดจะใช้ครั้งละ 0.15-0.35 กรัม นำมาบดให้เป็นผงรับประทาน หรือจะใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรับยาก็ได้ ส่วนรากให้ใช้ครั้งละ 3-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรับยา และในส่วนของใบ ให้ใช้ใบแห้งครั้งละ 0.01-0.05 มิลลิกรัม นำมาบดให้เป็นผงรับประทาน
ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรสลอด
- สตรีมีครรภ์และผู้ที่มีร่างกายอ่อนแหม ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้
- รากใช้ในปริมาณจะทำให้สตรีมีครรภ์แท้งบุตรได้
- ทุกส่วนของต้นสลอดเป็นพิษ ต้องใช้อย่างระมัดระวัง ส่วนที่เป็นพิษคือส่วนของเมล็ด เนื้อในเมล็ด และยาง โดยสารพิษที่พบคือ Crotin, Resin, Croton oil, Taxalbumins (phytotoxins), Toxic albuminous substance crotin[7]
- อาการเป็นพิษที่พบ คือ ทำให้มีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง มีอาการคลื่นไส้อาเจียน คล้ายอาหารเป็นพิษ และอาจเสียชีวิตได้จากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ โดยน้ำมันจะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ทำให้เกิดอาการระคายเคืองมาก ถ้าน้ำมันถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองเป็นผื่นคัน ผิวหนังไหม้แดง แต่ถ้าผงจากเมล็ดถูกเมล็ดจะทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นแผลพุพอง และเมื่อรับรับประทานเข้าไปจะทำให้กระเพาะและลำไส้อีก เมื่อรับประทานเข้าไประยะหนึ่งถึงจะเกิด gastrocntertis อาจเป็น 1 หรือ 2 ซม หรือ 2 วันก็ได้ ส่วนยางจากลำต้นถ้าถูกผิวหนังจะทำให้เกิดแผลพุพอง
- การกำจัดพิษของเมล็ดสลอด เมล็ดสลอดจะมีพิษมาก ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะมีฤทธิ์เป็นอย่าถ่ายอย่างแรงและเป็นพิษ เพราะน้ำมันในเมล็ดสลอดจะมีพิษร้อนคอ ปวดมวน และระบายจัด ก่อนนำมาใช้ต้องทำการกำจัดพิษด้วยการทุบเมล็ดแยกเปลือกและจุดงอกในเมล็ดออก แล้วนำมาต้มกับน้ำนม 2-3 ครั้ง ก่อนนำมากิน หรืออีกวิธีให้นำเมล็ดมาปอกเปลือกออกแล้วบีบน้ำมันออกจากเมล็ดให้มากที่สุด ซึ่งวิธีการกำจัดพิษก็คือ ให้นำเมล็ดมาแช่ในน้ำประมาณ 3-4 วัน หลังจากนั้นนำมาคนให้เข้ากันกับน้ำต้มข้าวเหนียว ให้น้ำข้าวซึมเข้าไปในเมล็ด แล้วนำไปตากให้แห้ง ลอกเอาเปลือกออกและบีบเอาน้ำมันออกให้หมด แล้วจึงนำเมล็ดไปตากหรือคั่วให้แห้ง และนำไปบดให้เป็นผงเพื่อใช้เป็นยาต่อไป ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าเมล็ดสลอดที่แก่แล้วจะมีน้ำมันอยู่ในเมล็ด ซึ่งเป็นยาถ่ายอย่างแรงและทำให้เกิดอาการระคายเคือง ต้องนำไปคั่วก่อนเพื่อให้น้ำมันในเมล็ดระเหยออกไปเสียก่อน จะมีผลทำให้ฤทธิ์อ่อนลงได้ ซึ่งใช้เป็นยารุ
- การใช้เมล็ดสลอดเป็นยาระบาย ต้องมียาคุมฤทธิ์ไว้ให้ดี มิฉะนั้นจะทำให้มีอาการคลื่นเหียน ปวดมวน ไซ้ท้องอย่างยิ่ง ฉะนั้นการใช้สลอดนี้ ถ้ายาคุมฤทธิ์ไว้ได้ดีก็จะเป็นยาที่วิเศษอีกขนานหนึ่ง แต่ถ้าวิธีคุมฤทธิ์ไว้ไม่ดีก็ไม่ควรใช้ ให้ใช้ยาขนานอื่นแทน
- การรักษาพิษสลอด ถ้าได้รับพิษจากเมล็ดสลอด จะพบว่ามีอาการปวดกระเพาะและลำไส้อย่างรุนแรง มีอาการอาเจียนและถ่ายท้อง ปริมาณของเม็ดขาวในร่างกายจะสูงขึ้น การรักษาในเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาลให้พยายามทำให้อาเจียน แล้วรับประทานยาเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ หรือดื่มนมหรือผงถ่าน เพื่อช่วยลดการดูดซึม แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการล้างท้องทันที และให้รับประทานยาถ่ายประเภทเกลือ เช่น ดีเกลือ เพื่อช่วยลดการดูดซึมสารพิษ และให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด เพื่อป้องกันการหมดสติหรือช็อกจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ และให้รับประทานโซเดียมไบคาร์บอเนต เช่น โซดามินท์วันละ 5-15 กรัม เพื่อช่วยลดการอุดตันต่อทางเดินในไตเนื่องจากเม็ดเลือดแดงที่เกาะรวมตัวกัน ในระหว่างนี้ต้องให้รับประทานอาหารประเภทที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น น้ำหวาน และให้งดอาหาร ไขมัน เพื่อลดอาการตับอักเสบ (หมายเหตุ : ต้องระวังอาการไตวายและหมดสติด้วย) สำหรับในรายที่มีอาการคล้าย atropine เช่น ในกลุ่มสารพิษ curcin ให้ atropine antagonists ระบบไหลเวียนเลือด เช่น physoatigmine salicylate IV ส่วนในกรณีอื่น ๆ ให้รักษาไปตามอาการ เช่น ทำการให้ morphin sulfate 2-10 มิลลิกรัม เพื่อลดอาการปวดท้อง[7],[10] ส่วนอีกวิธีการแก้พิษสลอดอีกวิธีให้ใช้ อึ่งเน้ย อึ่งแปะ นำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรือให้ใช้ถั่วเขียวนำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรือรับประทานข้าวต้มเย็นก็ได้[5]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของสลอด
- ภายในเมล็ดสลอดมีน้ำมัน Croton oil ประมาณ 40-60% ในน้ำมันพบสารหลายชนิด เช่น Croton resin, Crotonic acid, Phorbol และยังพบโปรตีน 18% และเป็นพิษโปรตีน เช่น Crotin (มีฤทธิ์คล้ายกับพิษโปรตีนจากเมล็ดละหุ่ง) ยังพบสาร Alkaloids อีกหลายชนิด เช่น Crotonside, Ricinine อีกทั้งยังพบสาร Cocarcinogen A1 (สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง)[5] ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าในเมล็ดสลอดมีน้ำมัน 56% นอกนั้นจะเป็นสารจำพวก Toxic albuminous substances ชื่อ Crotin มีน้ำตาลและไกลโคไซด์ชื่อว่า Crotonoside และยังมีสารจำพวกที่มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายและทำให้เกิดอาการระคายเคืองแก่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่สารจำพวก Terpenoid เป็นพวก Phorbals ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เกิดมะเร็งได้เร็วขึ้น
- สาร Croton resin, Crotonic acid และ Phorbol ที่พบในเมล็ดสลอดมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง
- น้ำที่ต้มหรือน้ำแช่ที่ได้จากเมล็ดสลอด มีฤทธิ์ทำให้หอยโข่ง ไส้เดือน หรือแมลงวันตายได้
- น้ำเกลือที่แช่กับใบสลอด มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ Columbacilus จากลำไส้ใหญ่ในหลอดทดลองได้หลายชนิด
ประโยชน์ของสลอด
- ใบสลอดใช้เป็นยาฆ่าแมลงวันได้
ภาพและข้อมูลจาก https://www.medthai.com/