สะเดาอินเดีย

ลักษณะของสะเดาอินเดีย

  • ต้นสะเดาอินเดีย จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นได้ประมาณ 8-12 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาที่เรือนยอดของลำต้นจำนวนมาก บางต้นก็มีลักษณะเป็นทรงพุ่ม เปลือกต้นลำเป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลแกมเทา แตกเป็นร่องลึกตามยาว ทุกส่วนของต้นมีรสขม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอน จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยและมีความชื้นบ้างเล็กน้อย

ต้นสะเดาอินเดีย

  • ใบสะเดาอินเดีย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ลักษณะและการเรียงตัวจะเหมือนกับสะเดาบ้าน แต่ใบย่อยจะโค้งเป็นรูปเคียว โดยใบจะออกเรียงสลับหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ก้านหนึ่งจะมีใบอยู่ประมาณ 5-9 คู่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรี ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนเบี้ยว ส่วนขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม เนื้อใบหนา มัน และขมกว่าสะเดาบ้าน หลังใบและท้องใบเรียบเป็นมัน

ใบสะเดาอินเดีย

  • ดอกสะเดาอินเดีย ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น โดยจะออกตามซอกใบใกล้กับปลายยอด ดอกย่อยมีจำนวนมาก ดอกสีเป็นขาวและมีกลิ่นหอม กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายกลีบดอกมน โคนเรียว

ดอกสะเดาอินเดีย

  • ผลสะเดาอินเดีย ผลเป็นผลสด ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมรี ผิวผลเรียบเป็นมัน ผลอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมล็ดเดี่ยว

ผลสะเดาอินเดีย

สรรพคุณของสะเดาอินเดีย

  1. เปลือกต้นมีรสขม ใช้เป็นยาช่วยทำให้เจริญอาหารได้เป็นอย่างดี (เปลือกต้น)
  2. ดอกมีรสขม ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ (ดอก)
  3. ตำรายาไทยจะใช้เปลือกต้น ใบ และก้านใบ นำมาปรุงเป็นยาแก้ไข้และไข้จับสั่นหรือไข้มาลาเรีย ไข้ประจำฤดู ด้วยการใช้เปลือกสด 1 ฝ่ามือ หรือใบสด 2 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 4 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 2 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วหลังอาหารเช้าและเย็น วันละ 2 ครั้ง จนกว่าอาการไข้จะหาย (เปลือกต้น,ใบ) ส่วนรากมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ (ราก)
  4. ยางมีรสขม มีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อน (ยาง)
  5. เปลือกต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้บิด (เปลือกต้น)
  6. ผลมีรสขม ใช้เป็นยาระบายท้อง (ผล)
  7. ผลมีสรรพคุณเป็นยาถ่ายพยาธิ (ผล)
  8. รากมีสรรพคุณเป็นยาฝาดสมาน (ราก)
  9. เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำใช้น้ำล้างบาดแผล (เปลือกต้น)
  10. เมล็ดมีรสขม ใช้ปรุงเป็นยาแก้โรคผิวหนัง โดยในเมล็ดจะมีน้ำมันระเหยชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Margosa oil ซึ่งในประเทศอินเดียจะนำมาใช้เป็นยาทารักษาโรคผิวหนัง (เมล็ด, น้ำมันจากเมล็ด)
  11. ใบมีรสขม ใช้ตำพอกรักษาฝีหนอง หรือต้มเป็นน้ำชะล้างแผลกลาย (ใบ)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของสะเดาอินเดีย

  • ใบและเปลือกต้นจะมีสารจำพวก limonoids ได้แก่ nimbolide และ gedunin (สารทั้ง 2 สองชนิดนี้สามารถฆ่าเชื้อ “ฟัลซิปารัม” ซึ่งเป็นเชื้อไข้มาลาเรียชนิดหนึ่งได้ และยังมีความเป็นพิษต่ำด้วย) ส่วนในผลสะเดาอินเดียจะมีสารชนิดหนึ่งที่มีรสขม ซึ่งสารนี้มีชื่อว่า Bakayanin และในช่อดอกจะมีสารจำพวกไกลไคไซด์ที่มีชื่อว่า Nimbosterin 0.005% และมีน้ำมันหอมระเหยที่มีรสเผ็ดจัดอยู่ 0.5% นอกจากนี้ยังพบ Nimbecetin, Nimbosterol, กรดไขมัน และสารที่มีรสขม ส่วนในเมล็ดสะเดาอินเดียจะมีน้ำมันขมที่มีชื่อว่า Margosic acid 45% (บางครั้งเรียกว่า “Nim oil” หรือ “Margosa oil“) และสารขมที่มีชื่อว่า Nimbin, Numbidin, Nimbunin ซึ่งเป็นสารที่เราพบมากใน Nim oil ที่จะเป็นตัวออกฤทธิ์และมีกำมะถันอยู่ด้วย[3],[4]
  • ในเมล็ดพบสาร limonoids อยู่หลายชนิด มีคุณสมบัติทางชีวภาพ ชนิดแรกที่พบคือ “Meliantriol” ซึ่งเป็นสารประเภทไตรเทอร์ปีน โดยมีฤทธิ์ยับยั้งการกินของแมลงได้ในความเข้มข้น 3 ไมโครกรัมต่อตารางเซนติเมตร (มีคุณสมบัติยับยั้งการกินของแมลงและหนอน โดยเฉพาะตั๊กแตนและพวกแมลงปากดูด เช่น แมลงวัน ยุง เพลี้ยมวน ไส้เดือนฝอย ฯลฯ) และสารอีกชนิดหนึ่งคือ “Azadirachtin” เป็นสารที่มีฤทธิ์แรงสุด โดยสามารถยับยั้งการกินของแมลงได้ถึง 100% ในความเข้มข้นเพียง 1 นาโนกรัมต่อตารางเซนติเมตร ถ้าเก็บเมล็ดจากต้นที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี มาสกัดก็จะได้สารนี้ประมาณ 0.7% โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษพบว่าสารในเมล็ดนี้จะออกฤทธิ์ไปทำให้ฮอร์โมนในแมลงผิดปกติ ทำให้เกิดทุพพลภาพอย่างถาวร เมื่อนำสารสกัดจากเมล็ดหรือใบไปฉีด แมลงจะยังไม่ตายทันที แต่จะออกฤทธิ์ไปทำให้การสร้างไคตินซึ่งเป็นองค์ประกอบของเปลือกลำตัวผิดปกติ ทำให้การลอกคราบของแมลงเป็นไปอย่างไม่สมบูรณ์ ส่งผลทำให้จำนวนของแมลงลดลงเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังมีผลต่อการฟักไข่ การลอกคราบ และการเจริญเติบโตของตัวอ่อนของแมลงสาบอีกด้วย และสาร Azadirachtin ยังสามารถออกฤทธิ์ต่อแมลงได้อีกหลายชนิด รวมทั้งตั๊กแตนสีน้ำตาลซึ่งเป็นศัตรูพืชตัวสำคัญในการทำลายพืชพรรณธัญญาหาร จนในปัจจุบันก็ได้มีผลิตภัณฑ์จากสะเดาอินเดียออกวางจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว
  • จากการทดลองในสัตว์ พบว่าใบและน้ำมันจากเมล็ดของสะเดาอินเดียมีฤทธิ์ลดไข้
  • ผลิตภัณฑ์จากต้นสะเดาอินเดียสามารถช่วยป้องกันมะเร็งและคุมกำเนิดได้อีกด้วย

ประโยชน์ของสะเดาอินเดีย

  • เมล็ดใช้เป็นยาฆ่าแมลง (มีสารที่ออกฤทธิ์ฆ่าแมลง คือ Azadirachtin) เช่น เพลี้ยชนิดต่าง ๆ แมลงศัตรูในบุ้งฉาง มอดแป้ง ผีเสื้อข้าวเปลือก หนอนใยผัก หนอนชอนใบ ฯลฯ โดยสารชนิดนี้จะออกฤทธิ์เป็นทั้งยาฆ่าแมลง สารไล่แมลง และสารล่อแมลง ส่วนวิธีการใช้ก็ให้นำเมล็ดสะเดาอินเดียแห้งมาบดและแช่ไว้ในน้ำประมาณ 1-2 คืน (ใช้ 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 1 ปีบ หรือประมาณ 20 ลิตร) แล้วกรอกเอากากออก เสร็จแล้วนำน้ำยาที่ได้ไปฉีดพ่นแปลงผัก จะช่วยฆ่าหนอนใยผัก หนอนกระทู้ผักได้เป็นอย่างดี หรือจะใช้ใบสะเดาแห้งนำมาบดให้เป็นผงคลุกกับเมล็ดข้าวโพดในอัตราส่วน 1:10 ก็จะสามารถช่วยลดจำนวนของด้วงงวงข้าวโพดได้ถึง 44.38% ในยุ้งฉาง[2],[4] โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ E. Shulz Jr. ศาสตราจารย์วิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ แห่งมหาวิทยาลัย Washington ได้พบว่าสารเคมีในต้นสะเดาอินเดีย สามารถป้องกันภัยคุกคามจากแมลงได้ถึง 131 ชนิด และสามารถกำจัดแมลงศัตรูพืชได้ถึง 70 ชนิด (ยาฆ่าแมลงที่สกัดได้จากต้นสะเดาอินเดียสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ จึงไม่เป็นพิษต่อมนุษย์)
  • น้ำมันสะเดาที่สกัดได้ตามเมล็ดสามารถนำมาใช้ตามตะเกียงและเครื่องสำอางได้
  • ส่วนกากที่เหลือจากการสกัดเอาน้ำมันออกจากเมล็ดสะเดาอินเดีย หรือที่เรียกว่า “Neem cake” ก็ยังสามารถนำมาใช้เป็นตัวชะลอการสลายตัวของปุ๋ยยูเรียได้อีกด้วย โดยปกติแล้วปุ๋ยยูเรียที่ใส่ลงไปในดินจะถูกเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียภายใน 24 ชั่วโมง จึงทำให้รากของพืชไม่สามารถดูดซึมปุ๋ยไว้ได้ทัน ทำให้เกิดการสูญเปล่า แต่ถ้าใส่ Neem cake ลงไป ปฏิกิริยาของปุ๋ยก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่าง ๆ ช้า ทำให้รากพืชสามารถดูดเก็บปุ๋ยไว้ได้ทัน
  • ในประเทศอินเดียมีการใช้ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของต้นสะเดาอินเดียกันอย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในทางยา ทำสบู่ ทำวัสดุก่อสร้าง เยื่อกระดาษ ทำกาว ใช้เป็นเชื้อเพลิง ใช้เป็นยาฆ่าแมลง ส่วนกิ่งเล็ก ๆ ก็นำมาทุบทำเป็นแปรงสีฟัน (ทำให้ปากไม่มีกลิ่นเหม็น) ฯลฯ ส่วนใบนำมาสอดแทรกไว้ในหนังสือ ในตู้เก็บถ้วยชาม เพื่อช่วยไล่แมลง

ภาพและข้อมูลจาก https://www.medthai.com