โมกหลวง

ลักษณะของโมกหลวง

  • ต้นโมกหลวง จัดเป็นไม้พุ่มผลัดใบหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 3-15 เมตร ลำต้นกลม เปลือกต้นชั้นนอกเป็นสีเทาอ่อนถึงสีน้ำตาล หลุดลอกออกเป็นแผ่นกลม ๆ ขนาดไม่เท่ากัน ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีซีด ทุกส่วนของต้นมียางสีขาวข้น ใบอ่อนจะมีขนปกคลุมมาก ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ทนต่อแสงแดดได้ดี พบได้ตามป่าเต็งรังทั่วไป ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ มีเขตการกระจายพันธุ์จากแอฟริกาถึงอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ต้นโมกหลวง

โมกใหญ่

รูปโมกหลวง

  • ใบโมกหลวง ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงเป็นคู่ตรงข้ามสลับตั้งฉาก ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปไข่ รูปไข่แกมรูปขอบขนาน หรือรูปใบหอกกลับ ปลายใบเรียวแหลมหรือมน โคนใบแหลมหรือป้าน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-12 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-27 เซนติเมตร แผ่นใบมีขน ใบแก่บาง มีเส้นใบข้างประมาณ 10-16 คู่ ส่วนเส้นกลางใบและเส้นใบมองเห็นได้ชัดเจน โดยเส้นใบจะเป็นสีเหลือง ไม่มีต่อม ผิวใบด้านบนมีขนนุ่ม ส่วนด้านล่างมีขนหนาแน่นกว่า ส่วนก้านใบยาวประมาณ 0.2-0.6 เซนติเมตร ใบร่วงได้ง่าย

ใบโมกหลวง

  • ดอกโมกหลวง ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจุก โดยจะออกใกล้กับปลายกิ่ง ในแต่ละช่อจะมีดอกหลายดอก ช่อดอกห้อยลง ช่อดอกยาวประมาณ 4-1 เซนติเมตร ดอกมีขนาดประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร ดอกเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน บางครั้งอาจมีแต้มสีชมพู ดอกมีกลิ่นหอม ก้านช่อยาวประมาณ 0.6-1.7 เซนติเมตร กลีบดอกมี 5 กลีบ เรียงซ้อนเหลื่อมกัน เวียนซ้าย ผิวด้านนอกมีขนสีขาว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ๆ ยาวประมาณ 9-11.5 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 ก้านเชื่อมกับหลอดกลีบดอก ก้านชูเกสรสั้นและมีขนอยู่ที่ฐาน อับเรณูแคบแหลม ส่วนเกสรเพศเมีย มีรังไข่เหนือวงกลีบ มี 2 ห้อง แยกจากกัน ยอดเกสรเชื่อมกัน ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1.8-2.5 เซนติเมตร ไม่มีหมอนรองดอก ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ ขนาดประมาณ 2-4 มิลลิเมตร มีลักษณะแคบและแหลม มีต่อมประปราย ที่โคนเชื่อมกันเล็กน้อย ปลายแยก และมีขนสีขาว โดยจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม หรือออกดอกพร้อมกับติดผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน

ดอกโมกใหญ่

ดอกโมกหลวง

  • ผลโมกหลวง ออกผลเป็นฝัก ห้อยลงเป็นคู่โค้ง ฝักเป็นฝักแห้ง ลักษณะของฝักเป็นรูปทรงกระบอกแคบ ปลายฝักแหลม โคนฝักแบน ฝักมีขนาดกว้างประมาณ 0.3-0.8 เซนติเมตร ยาวประมาณ 18-43 เซนติเมตร เมื่อฝักแก่เต็มที่จะแตกตามยาวเป็นตะเข็บเดียวอ้าออกเป็น 2 ซีก ภายในฝักมีเมล็ดเรียงกันเป็นแถวอยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะของเมล็ดแบน เป็นสีน้ำตาล ขนาดประมาณ 1.3-1.7 เซนติเมตร เกลี้ยง แต่มีแผงขนยาวเป็น 2 เท่าของเมล็ด มีขนสีขาวเป็นพู่ติดอยู่ แผงขนจะชี้ไปทางยอดของฝัก โดยขนสีขาวที่ติดอยู่สามารถลอยไปตามลมได้

ฝักโมกหลวง

สรรพคุณของโมกหลวง

  1. เปลือกต้นมีรสขมฝาดเมาร้อน เป็นยาทำให้เจริญอาหาร (เปลือกต้น)
  2. ช่วยบำรุงธาตุทั้งสี่ให้เจริญ ทำให้รู้ปิดธาตุ (เปลือกต้น)
  3. ทำให้ฝันเคลิ้ม (เมล็ด)
  4. กระพี้ช่วยฟอกโลหิต (กระพี้)
  5. เปลือกต้นใช้ปรุงเป็นยาแก้เบาหวาน (เปลือกต้น)
  6. ผลมีรสฝาดขมร้อน เป็นยาแก้สันนิบาต หน้าเพลิง ช่วยแก้วัณโรคของสตรีอันอยู่ในเรือนไฟ (ผล)
  7. เมล็ดมีรสฝาดขม สรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้ท้องเสีย แก้ไข้อันเกิดเพื่ออติสารโรค (เมล็ด) ส่วนเปลือกต้นใช้ปรุงเป็นยาแก้ไข้จับสั่น (เปลือกต้น) ช่วยแก้ไข้อันเป็นเพื่อลม แก้ไข้อันเป็นเพื่อเลือด แก้ไข้อันเป็นเพื่อเสลด (เปลือกต้น)ตำรับยาแก้ไข้พิษ ระบุให้ใช้เปลือกต้นโมกหลวงประมาณ 6-10 กรัม (ครึ่งกำมือ) ผสมกับผลมะตูมแห้ง (อย่างละเท่ากัน) รวมกับเปลือกรากทับทิมครึ่งส่วน นำมาตำให้เป็นผงผสมกับน้ำผึ้งทำเป็นลูกกลอน ใช้รับประทานครั้งละ 1-2 กรัม (ของยาที่ผสมแล้ว) ประมาณ 3-5 เมล็ดพุทรา หรือนำมาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานวันละ 2 ครั้งเป็นยาแก้ไข้พิษ (เปลือกต้น)
  8. เปลือกต้นแห้งมีสรรพคุณแก้เสมหะเป็นพิษ (เปลือกต้น)
  9. ช่วยรักษาหลอดลมอักเสบ (ใบ)
  10. ช่วยขับลม (เมล็ด)
  11. ช่วยในการขับถ่าย (เมล็ด)
  12. ช่วยแก้โรคลำไส้ (เปลือกต้น)
  13. เมล็ดช่วยแก้ท้องเสีย ท้องเดิน (เมล็ด) ส่วนตำรายาพื้นบ้านอุบลราชธานีจะใช้ส่วนของรากนำมาต้มกับน้ำดื่มแก้ท้องเสีย (ราก)
  14. ช่วยรักษาท้องร่วง (เปลือกต้น, น้ำมันจากเมล็ด)
  15. เมล็ดเป็นยาแก้บิด (เมล็ด) เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด แก้บิดมูกเลือด ส่วนอีกตำรับให้ใช้เปลือกต้นโมกหลวงประมาณ 6-10 กรัม (ครึ่งกำมือ) ผสมกับผลมะตูมแห้ง (อย่างละเท่ากัน) รวมกับเปลือกรากทับทิมครึ่งส่วน นำมาตำให้เป็นผงผสมกับน้ำผึ้งทำเป็นลูกกลอน ใช้รับประทานครั้งละ 1-2 กรัม (ของยาที่ผสมแล้ว) ประมาณ 3-5 เมล็ดพุทรา หรือนำมาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานวันละ 2 ครั้งเป็นยาแก้บิด (เปลือกต้น) ส่วนตำรายาพื้นบ้านอุบลราชธานีจะใช้ส่วนของรากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด (ราก)
  16. เปลือกต้นแห้งที่ป่นละเอียดแล้ว นำมาใช้ทาตัวแก้โรคท้องมานได้ (เปลือกต้น)
  17. ดอกมีรสฝาดเมา เป็นยาขับพยาธิ ถ่ายพยาธิ (ดอก) ใบช่วยขับพยาธิในท้อง (ใบ) ช่วยขับไส้เดือนในท้อง (ใบ) ส่วนเมล็ดเป็นยาถ่ายพยาธิในลำไส้เล็ก (เมล็ด)
  18. รากมีรสร้อน ช่วยขับโลหิต ขับโลหิตประจำเดือนของสตรี แก้โลหิตอันร้ายให้ตก (ราก) ส่วนผลก็ช่วยขับโลหิตเช่นกัน (ผล)
  19. ช่วยแก้ดีพิการ (เปลือกต้น)
  20. ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย (เปลือกต้น)
  21. เมล็ดเป็นยาฝาดสมาน (เมล็ด) ช่วยสมานท้องลำไส้ (เมล็ด)
  22. ช่วยรักษาแผลพุพอง (ใบ)

ภาพและข้อมูลจาก https://www.medthai.com/